รู้จัก "ป้าติ๋ม" วัย 73 ปี หญิงไทยคนแรกที่มีรูปบนซองช็อกโกแลตแบรนด์ดัง

“ป้าติ๋ม” เจ้าของสถานสงเคราะห์สัตว์ บ้านนางฟ้าของสัตว์จร ผู้หญิงไทยคนแรก ที่มีรูปบนซองช็อกโกแลต Hershey’s ในแคมเปญ สตรีที่ช่วยเหลือสังคม เผยที่ทำอยู่ทุกๆวันนี้ เพราะความสงสาร และ เมตตาต่อสุนัข

วันที่ 3 ก.พ. 2566 เรียกว่ากลายเป็นเรื่องฮือฮา ที่ถูกเอ่ยถึงกันมาสักพัก สำหรับนางกวิพร วินิจเถาปฐม หรือป้าติ๋ม อายุ 73 ปี เจ้าของสถานสงเคราะห์ สัตว์บ้านนางฟ้าของสัตว์จร หญิงไทยคนแรก มีภาพขึ้น บนซองช็อกโกแลต แบรนด์ระดับโลก อย่าง Hershey’s ในแคมเปญ สนับสนุนพลังสตรี

ต่อมา ผู้รายงานข่าวลงพื้นที่ ไปยังบ้านเลขที่ 342 ม.9 ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยได้เจอป้าติ๋ม แล้วก็ นายอนันต์ธรณ์ วินิจเถาปฐม หรือเทป ซึ่งเป็นลูกชาย ที่กำลังเตรียมอาหาร แล้วก็ หุงข้าวไว้ให้หมา ที่เลี้ยงไว้ในบ้านกว่า 70 ตัว และก็ สุนัขจรจัด ตามท้องถนน ใน อ.แก่งคอย

ป้าติ๋ม
ป้าติ๋ม เผยว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้ร่วมแคมเปญของ Hershey’s

ส่วนตัวก็ไม่คาดคิด ว่าการกระทำของตน จะมีคนสนใจ รวมทั้ง นึกถึง ซึ่งทีแรกลูกชายของตนเอง ได้มาบอกว่า มีช็อกโกแลต Hershey’s จะเอาแม่ไปลงในซอง ของช็อกโกแลต ตัวเองก็มิได้สนใจอะไร ไม่ทราบว่า ที่เลือกไปลงที่ซองช็อกโกแลต แล้วจะเป็นยังไง ตัวเองก็มีความคิดว่า ไม่ใช่ดารา จะไปช่วยยอดขายเขาได้เช่นไร

ต่อจากนั้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566 ก่อนหน้าที่ผ่านมา ลูกชายได้โทร.มาบอกว่า ซองช็อกโกแลต มีรูปแม่ลงไปแล้วนะ ก่อนที่จะเอามาดู ก็ยังไม่รู้สึกอะไร จนถึงมีเพื่อนส่งไลน์มาให้ดูว่า “ฮือฮาหญิงไทย” แล้วมีการเอาไปลงในยูทูบด้วย ตนก็งง แต่ว่าคิดว่าดีเหมือนกัน จะได้มีคนเข้าใจ แล้วก็รับรู้ ในสิ่งที่ตัวเราเองทำ นั่นคือการดูแลหมา

ตนทำไปทั้งหมด เพราะว่าการที่มีเมตตา และก็ สงสาร ถามว่าดีใจไหม ที่เฮอร์ชี่เอารูปไปลง ก็มีความรู้สึกว่าดี ในแง่ที่ว่าเขาจะได้ช่วยในด้านการประชาสัมพันธ์ จึงรู้สึกว่า

ตัวเองคงจะได้รับความช่วยเหลือ จากสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกๆวันนี้ เพราะอยู่ด้วยความลำบาก มีค่าใช้จ่ายอยู่ทุกๆวัน ทำคนเดียวก็ไม่ไหว เนื่องจาก สุนัขมันเยอะมาก

ก็จะต้องจ้างแรงงานเข้ามาช่วย ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากเพิ่มขึ้น เดือนละเกือบล้านบาท ด้วยเหตุว่าเรารับสุนัขมาแล้ว จะทิ้ง ก็ไม่ได้

โชคดีที่ยังได้รับพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระราชทานค่าอาหารสุนัขทุกเดือน เดือนละ 100,000 บาท โดยได้รับพระราชทานมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 รวมทั้ง ผู้แทนพระองค์มาติดตามดู รวมทั้ง ให้รถนำอาหารมาส่ง ให้ทุกเดือน แต่ว่าก็ยังไม่พอ ที่จะเลี้ยงดู สุนัข เพราะอาหารสุนัข ที่ใช้เลี้ยงต่อวัน วันละ 29 กระสอบ จากจำนวนสุนัข 1,200-1,300 ตัว และ แมวอีก 600 ตัว ล้วนเป็นสุนัข ที่เจ้าของทิ้งเอาไว้ทั้งหมดทั้งปวง

ตนเองช่วยหมามา ตั้งแต่ธ.ค. ปี 2546 เงินที่นำมาเลี้ยง ก็เป็นเงินที่ตัวเองทำธุรกิจ เกี่ยวกับการทำขนส่ง คอนกรีตผสมเสร็จ มีรถโม่ปูน วิ่งรับส่งอยู่ 280 คัน แต่ว่าช่วงนี้ขายไปหมด เหลืออยู่ไม่ถึง 10 คัน และ ยังประกาศขายบ้าน ที่จังหวัดสระบุรี รวมทั้ง ที่ดิน ในจังหวัดชลบุรี อีกด้วย

เพื่อนำเงินมาดูแลสุนัข ให้มันรอดชีวิตไปวัน ๆ ตอนนี้ก็ต้องการจะหาคนมาซื้อที่ ที่บ้านของตนเอง จะได้มีเงินมาเลี้ยงสุนัข ผู้ที่ประสงค์ จะให้ความช่วยเหลือ ดูแลสัตว์จรจัด สามารถติดต่อได้ที่เพจ บ้านนางฟ้าของสัตว์จร

ป้าติ๋ม รูปบนซองช็อกโกแลต Hershey's
ด้านนายอนันต์ธรณ์ ลูกชาย เล่าว่า ทางช็อกโกแลตเฮอร์ชี่ ได้โทร. เข้ามาหาตน

เมื่อประมาณ กันยายน หรือต.ค.ของปีที่แล้ว กล่าวว่าสนใจ ที่จะทำแคมเปญ โดยมีแม่ของตัวเอง มาเป็นตัวแทนสตรี ที่ช่วยเหลือสังคม โดยจะมีการนำภาพของคุณแม่ มาลงในหีบห่อของช็อกโกแลต

ซึ่งทางเฮอร์ชี่ ได้ติดต่อเข้ามาเอง โดยที่ตนไม่ได้ขอเข้าไป ในส่วนด้านค่าจ้าง ค่าโฆษณา ทางเรามิได้รับใด ๆ เลย ด้วยเหตุว่าการที่เขาเอาภาพ ของแม่ ไปลงในซอง ช็อกโกแลต แบรนด์ระดับโลก

มันช่วยทำให้ เราเป็นที่รู้จัก แล้วก็ ช่วยให้คนได้รู้จัก เผื่อจะมาช่วยเหลือทำบุญ กับหมาแมวจรจัด ของแม่ ที่มีอยู่เกือบ 2,000 ตัว ด้วยเหตุว่า ภาระค่าใช้จ่ายที่มหาศาล

โดยบนซองช็อกโกแลต จะมีคิวอาร์โค้ด เพื่อสแกนไปดูข้อมูล ของเพจได้ แต่ขณะนี้ ยังไม่สามารถทำได้ คงจะต้องรอ ประมาณ สิ้นเดือนก.พ. หรือมี.ค.

อย่างไรก็ดีเบื้องต้น สามารถดูข้อมูล ได้ทางเว็บไซต์ของเฮอร์ชี่ได้ ในนั้นจะมีข้อมูล ของคุณแม่ เกี่ยวกับ “บ้านนางฟ้าของสัตว์จร” รวมทั้ง ข้อมูลของผู้อื่นที่ได้รับเลือก คาดจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันสตรีโลก ตอนมี.ค..

ชี้แจงกล้องวงจรปิด "บุรีรัมย์" เเถลงขอโทษ, ส.บอล ประชุมออกบทลงโทษสั่งถอดทันที

ดราม่า กล้องวงจรปิดห้องทีมเยือน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แถลงยอมรับผิดระเบียบการจัดการแข่งฟุตบอลรายการไทยลีก พร้อมคำชี้แจง

ดราม่าบุรีรัมย์ ติดกล้องวงจรปิดในห้องแต่งตัว ของทีมเยือน ที่สนามช้างอารีน่า ของบุรีรัมย์ยูไนเต็ด กระทั่งเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมตามมา ซึ่งมองในมุมที่ว่า จะเป็นการสร้างการได้เปรียบให้ทางฝั่งเจ้าบ้าน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมทั้ง การติดวงจรปิดยังเป็นการผิดกฎของการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก อีกด้วย ซึ่งทางทัพปราสาทสายฟ้า ก็ได้ออกมายอมรับผิด พร้อมมีคำอธิบายแล้ว

จากในกรณีที่กลายเป็นข่าวใหญ่ ในวงการลูกหนังไทย เมื่อทาง ชลบุรี เอฟซี ได้ออกมาเผยว่าข้างในห้องแต่งตัว ของทีมเยือนที่สนาม ช้าง อารีนา รังเหย้าของ บุรีรัมย์ยูไนเต็ด มีการติดกล้องวงจรปิด (CCTV) ซึ่งทางคณะทำงานได้ใช้เทปกาวปิดทับ เพราะเหตุว่าเกรงว่า จะถูกบันทึกภาพการวางแผน และ พูดคุยในห้องแต่งตัว

ชี้แจงกล้องวงจรปิด บุรีรัมย์
ล่าสุด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาชี้แจง และ ขอโทษ

รวมทั้ง ได้นำกล้องในห้องพักนักกีฬา ทีมเยือนออกเป็นที่เรียบร้อย “ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏทางสื่อมวลชน ว่าสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอล รายการไทยลีก ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ในห้องแต่งตัวนักกีฬา ซึ่งผิดระเบียบการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก นั้น”

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอเรียนชี้แจงว่า สนาม ช้าง อารีนา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน ของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ครอบคลุมทุกพื้นที่ของสนาม และบริเวณภายนอกสนาม จำนวนทั้งสิ้น 156 ตัว”

“ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัย เนื่องจากสนามช้างอารีนา เป็นพื้นที่ที่เปิดให้นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไปเข้าชม เพื่อเป็นการทัศนศึกษา และร่วมกิจกรรม “Stadium Tour” โดยเฉพาะห้องแต่งตัวนักกีฬาทีมเหย้า และ ทีมเยือน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจ และมีผู้เข้าชมมากที่สุด จึงจำเป็นต้องติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด และ มีการบันทึกภาพไว้ทุกวัน เพื่อการรักษาความปลอดภัยเป็นสำคัญ ภาพที่บันทึกไว้ ไม่ได้นำมาใช้ เป็นข้อมูล ที่ทำให้เกิดการได้เปรียบ ในการแข่งขันแต่อย่างใด”

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอยอมรับว่า ได้กระทำผิดระเบียบ การจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการไทยลีก และ จะถอดกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ออกจากห้องแต่งตัว นักกีฬาทีมเยือน ในวันจัดการแข่งขัน และ ปฏิบัติตามระเบียบการจัดการแข่งขันของ บริษัท ไทยลีก จำกัด อย่างเคร่งครัดต่อไป”

ด้าน คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ได้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ครั้งที่ 6/2566 แล้วก็มีมติเอกฉันท์ ว่าการทำของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นการกระทำความผิดระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่งกีฬาฟุตบอลลีกอาชีพรายการไทยลีก 1 บทที่ 4 ข้อ 21.7 (หน้า18)

ระเบียบว่าด้วยการลงโทษวินัย มารยาท ที่เข้าข่ายความผิด ข้อ 5.3.19 ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่ง ในแต่ละรายการแข่ง มีโทษดังต่อไปนี้

– ครั้งแรก เตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จ
– ครั้งที่ 2 หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ในครั้งแรก ให้ปรับเงิน 10,000 บาท และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จใหม่
– ครั้งต่อๆ ไป ปรับเงินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนกว่าจะดำเนินแก้ไขแล้วเสร็จ

กล้องวงจรปิด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท พิจารณาความประพฤติปฏิบัติของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีความผิดตามระเบียบ

ว่าด้วยการลงโทษฯ บทที่ 3 หมวดที่ 2 ข้อ 5.3.19 โดยความผิดครั้งแรก เตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และกำหนดระยะเวลาดำเนินการแก้ไข โดยจึงควรไม่มีกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว ในห้องแต่งตัวนักกีฬาบอล ในห้องของเจ้าหน้าที่จัดการแข่ง แล้วก็ ในเขตเทคนิคเฉพาะส่วน ที่เป็นที่นั่งนักกีฬาบอลสำรอง ตามระเบียบข้อบังคับ ว่าด้วยการจัดการแข่งดังกล่าวข้างต้น ในวันที่ใช้สนามกีฬาดังกล่าว เป็นสถานที่จัดการแข่งในฐานะทีมเหย้าทุกนัดการแข่งขัน

ซึ่งเรื่องนี้ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ได้ออกมาเปิดเผยว่า “เราได้แจ้งกับผู้ควบคุมการแข่งขัน ทราบว่ามีกล้องวงจรปิด ติดอยู่ในห้องแต่งตัวทีมเยือน ซึ่งก็อยู่ที่ผู้ควบคุมการแข่งขันว่าจะเขียนรายงานส่งไปหรือไม่ การติดกล้องในห้องทีมเยือนคู่แข่ง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม”

ล่าสุด ธีราทร บุญมาทัน ดาวเตะของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาอธิบาย ถึงเรื่องดังกล่าวผ่าน THEERATHON5 OFFICIAL ว่า “กล้องวงจรปิดในห้อง ขอยืนยันด้วยการเป็นนักเตะทีมชาติไทย ไม่เคยมีคลิปการวางแผนของห้องนักเตะทีมเยือนเอามาวิเคราะห์เลยครับ”

“มีแต่ทีมงานสเกาท์ของทีมที่คาดการณ์ว่าใครจะลง และมาดูรายชื่อก่อนแข่งอีกที ว่าใครจะลงบ้างครับ” ตัวรุกทีมชาติไทย ยืนยันหนักแน่น ถึงประเด็นที่กำลังดราม่าอยู่ตอนนี้

สำหรับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ยูไนเต็ด ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เดินหน้าเก็บชัยอย่างต่อเนื่อง ยึดจ่าฝูงลีกด้วยผลงานชนะ 14 เสมอ 3 และ ยังไม่เคยแพ้ให้กับใคร ฤดูกาลนี้

"สู่ขวัญ บูลกุล" ในวัย 50 รู้สุขรู้ทุกข์ ออกแบบการจากลาของตัวเองไว้แล้ว ไม่อยากกลับมาเกิดอีก

เป็นผู้หญิงต้นแบบของสาวๆคนไม่ใช่น้อยในยุคนี้ สำหรับ “สู่ขวัญ บูลกุล” ที่ปีนี้ย่างเข้าเลข 5 แล้ว สู่ขวัญได้มาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ทั้งสุข แล้วก็ ทุกข์ รวมทั้งการผ่านวาระของการจากลา ที่เป็นช่วงๆที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต จนกระทั่ง ไม่คิดต้องการจะเกิดมาอีกแล้ว

ชอบพลังงานดี ๆ ในวัยนี้?

“ใช่ พวกเราคิดว่า ยิ่งพวกเราอายุเพิ่มมากขึ้น เรายิ่งชอบตัวเองมากขึ้น

ยุคเก่าคำว่า รักตัวเอง เราไม่เก็ตเลย มันยังไง แปลว่าอะไร ฉันจำต้องทำทุกอย่างเพื่อตัวเองหรอ สุข ทุกข์ ที่มันผ่านมาในชีวิตเรา เรียนรู้กับมัน ตอนทุกข์ ก็ทุกข์ ตอนสุข ก็สุข แต่มันทำให้พวกเราเข้าใจชีวิต และก็ รู้จักชีวิต

จนมาเป็นวันนี้ เรามิได้เพอร์เฟกต์ และ ไม่ได้มีทุกอย่าง แต่พวกเราก็เดิน ก้าว ข้ามผ่านทุกอย่างมาได้ บางทีก็ไปได้อย่างเร็วทันใจ บางทีก็ไปได้ช้า บางทีก็จำต้องลงไปพักก่อน ลุกไม่ไหว แต่ในที่สุดพวกเราก็ผ่านหลายอย่างมาแล้ว

จะเรียกว่าภูมิใจก็ได้ จะเรียกว่า เรารู้จักชีวิตก็ได้ พวกเราไม่ค่อยกลัว ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ ทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวในชีวิตที่ในที่สุด พวกเราจะทราบว่าที่มาถึงวันนี้ เป็นเนื่องจากตัวเรา

เนื่องจากการเอ๋ยถึงชีวิตมันไม่มีใครช่วยกันได้นะ คุณจะต้องเดินไปด้วยตัวเอง ทุกปัญหา ทุกปัญหา มีคนยื่นกำลังใจได้ ให้คำปรึกษาได้ ให้ความรักได้ แต่คนที่ในที่สุดต้องลุกขึ้นยืน และก็เดินไปเองให้ได้คือ เรา”

จริง ๆ แล้วชีวิตมนุษย์ มันมิได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่อยู่กับสิ่งที่พวกเรามีอยู่?

“มันบางครั้งก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี ที่สุด ที่เราทำได้ก็ได้ แต่พวกเราเพียรพยายามที่จะคิดทำอะไรให้มันยากไปอีก มันจำเป็นต้องค้นหากรรมวิธีการ หรือยังไง แต่สุดท้าย มันก็คืออยู่กับโมเมนต์นั้น ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะ สุข หรือ ทุกข์ มันจะผ่านไปทุกวินาที อันนั้นแหละ คือดีที่สุดแล้ว ที่พวกเราจะทำเป็น”

คำสั่งเสียสู่ขวัญ บูลกุล

“สู่ขวัญ บูลกุล” เคยบอกไว้ว่า อีก 5 ปีจะออกมาจากวงการ ขณะนี้ยังเหลืออีก 1 ปี แต่ สู่ขวัญ ก็ไม่เชิงว่า อยู่ในแวดวง?

“(หัวเราะ) ยังคิดอยู่เสมอเวลา ยังคิดอยู่เรื่อยนะ ถ้าเกิดพวกเราไม่ทำอะไรทุกอย่าง ที่เราทำอยู่ตอนนี้ จะเป็นอย่างไร แต่ขวัญพบว่าพวกเราชอบรักคนที่ดำเนินงานด้วยเสมอเลย มันเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งไป ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ในแวดวง หรืออะไร ขวัญเป็นคนโชคดี เรื่องคน ทุกหน คนที่ขวัญดำเนินการด้วย จะกลายเป็นเพื่อนในชีวิตจริงไปหมดเลย ฉะนั้นการออกจากแวดวงมันยากตรงที่พวกเขาเป็นเพื่อนพวกเรา การที่ไปดำเนินการราวกับการได้ไปเจอเพื่อน ซึ่งพวกเราก็รักเขา และ ยังอยากเจอเขาอยู่ตลอด”

ชีวิตโดยรวมยังมีอะไรที่รู้สึกอยากจะค้นหาอีกไหม?

“ขวัญว่าพวกเราไม่ต้องไปค้นหรอกจ้ะ ชีวิตมันใส่อะไรให้เรามาตลอด โดยที่พวกเราไม่ต้องค้นหา ขวัญว่าเราจัดการมันให้ได้ดีกว่า ยิ่งโตขึ้น ประสบการณ์ชีวิตเยอะขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ชีวิตมันโยงให้พวกเรา มันบางทีก็อาจจะซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น เพราะเหตุใดที่มันผ่านมาแล้ว มันง่ายไปแล้ว พวกเราก็จะไม่ไปจุดโฟกัสกับมัน พวกเราจะก้าวผ่านผ่านมันไป โดยไม่ต้องใช้ความบากบั่นแล้ว พวกเรารู้ พวกเราเข้าใจว่าพวกเราจะผ่านมันไปอย่างไร เรารู้พวกเราเข้าใจว่าพวกเราจะคิดกับเรื่อง ๆ นั้นยังไง ชีวิตมันยังเป็นอะไร ที่อเมซิ่งเสมอ

ถึงปีนี้ ขวัญ 50 ปี ขวัญก็ไม่เชื่อว่า ขวัญเข้าใจชีวิตดี เพียงแต่ว่า พวกเราทำความเข้าใจที่จะดำเนินชีวิตอยู่กับ สุข และ ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ สำเร็จ และ ผิดหวัง ทราบว่าจะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ และก็อารมณ์ต่าง ๆ กลุ่มนี้อย่างไร แต่พี่ขวัญก็ไม่เชื่อว่า พี่ขวัญเข้าใจชีวิตได้ดี พวกเรามั่นใจว่ามันยังมีอีกเยอะแยะ เพียงแต่เมื่อพวกเรามาถึงบางที บางครั้ง เมื่อเราจำต้องเจออะไร เราก็จะเจอสิ่งนั้นเอง”

4 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ทุกข์ที่สุด คืออะไร ก้าวผ่านยังไง?

“ทุกข์ที่สุดคือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจากไปของคุณพ่อคุณแม่ เพราะภายใน 3 ปี ที่ผ่านมา เสียเรียงกันเลยค่ะ คุณพ่อเสียไปก่อน ป๊ะป๋าเสียปี 2019 แม่เสียปีที่แล้ว ถือว่าเป็นการสูญเสีย ที่มันก็ให้ความจริงของชีวิตจริง ๆ

เพราะสำหรับขวัญป๊ะป๋าสำคัญมากในชีวิต แต่เราก็รู้มาตลอด เพราะเหตุว่าป๋าไม่ได้ฉับพลัน แต่แกเจ็บป่วยมายาวนานหลายปีแล้ว พวกเราก็รู้ว่ามันมีสักวันแน่นอน ก็คุยกับตัวเองว่า สิ่งที่จะทำให้เราเสียใจ คือ ณ เวลาที่เรามีอยู่ เพราะอะไรพวกเราถึงไม่ทำ

ตอนที่ป๊ะป๋ายังอยู่ ณ วันเวลานั้น ณ สภาพแวดล้อมนั้น ณ ความสามารถในขณะนั้นทุกอย่างที่เราพอจะทำได้ เราว่าพวกเราได้ทำเต็มที่แล้ว เมื่อพ่อจากไป พวกเราก็คงจะเดินต่อไปได้ ซึ่งพวกเราก็เดินต่อไปได้จริง ๆ ค่ะ แต่ความทุกข์มันหนักมาก อย่างกับว่าบางอย่าง ฉีก แล้วหายวับไปเลยจากชีวิต ชีวิตมันต่อรองมิได้จริง ๆ เรื่องความจริงชีวิต มันต่อรองมิได้จริง ๆ มีบางอย่างฉีกให้ขาดหายวับไปกับตาเลย ขนาดว่าเราเตรียมมาอย่างดีแล้ว เราก็ยังมีความคิดว่า มันมีผลกระทบกับเราม๊าก…มากๆๆๆ

เราทำทุกอย่างมาอย่างดี ตระเตรียมใจมาอย่างดี ในขณะนั้นไม่มีฟูมฟาย จนถึง ลอยอังคารเสร็จเสมือนทุกอย่างมันถั่งโถม เรารู้สึกได้เลยว่า นี่คือความทุกข์ ถ้าเกิดจะเป็นความทุกข์แบบไหน ที่พวกเราคิดว่าไม่ได้อยากต้องการกลับมาเกิดอีกแล้ว

เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเจอกับความทุกข์ใจอย่างนี้อีก เพราะมันหนัก ยิ่งเราเห็นลูกเราเศร้า จากที่พวกเราเศร้าหมองอยู่แล้ว มันยิ่งเศร้าหมองไปอีกเท่านึง พวกเรายิ่งจำเป็นต้องทรหดอดทน พี่ขวัญบอกเลยว่า ความทรหดอดทนของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด”

สู่ขวัญ

“สู่ขวัญ” มีคุยกับสามีแล้ว ถ้าหากเธอรั้งฉันไว้ ฉันจะกลับมาหลอก?

“ใช่ ก็คุยกับพี่โชคไว้ พี่โชคเขาจะกล่าวว่ามิได้สิ ถ้าหากเรายังมีโอกาส พวกเราจะต้องทำแบบเต็มที่ ทำสุดความสามารถ ที่เราจะทำได้ ได้โอกาสเราจำต้องสู้ ขวัญก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนค่ะ สู้นี่ฉัน ฉันทรมาทรกรรมนะคะ ทุกวันนี้ขวัญดำรงชีวิตอย่างรู้คุณค่าของชีวิต ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้เสียใจกับเรื่องอะไร ก็ทำเต็มที่ ทุกวันนี้ตื่นมารู้สุข รู้ทุกข์ ในแต่ละวัน เมื่อมีความสุขก็รู้คุณค่าของความสุข เมื่อพบความทุกข์ใจ ก็เข้าใจว่านี่แหละ คือการเรียนรู้ของชีวิต ไม่เคยประมาทกับมัน ไม่เคยไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

ถ้าเกิดวันนึงพวกเราเป็นอะไรไป แล้วมันจะต้องเป็นความทรมาน สำหรับเพื่อการรักษา แม่รู้สึกว่าแม่โอเค ปลดปล่อยเถิด เพียรพยายามบอกกับลูกไว้ แต่กับสามีดูแบบเหมือนต้องรักษาไหม พวกเราเลยต้องใช้มุก ถ้าหากมายืดแบบทรมาทรกรรมนะ รับรอง พี่ล้างหน้าอยู่เงยขึ้นมา พี่มองเห็นขวัญอยู่ข้างหลังแน่นอน คือขู่ไว้ก่อนเลย พี่จะเจอกับขวัญอีกภาคนึงแน่นอน”

แล้วสุขในแต่ละวันของเรา?

“แค่ทุกรุ่งเช้า มีกาแฟก็แฮปปี้แล้ว นี่คือสิ่งที่พี่ขวัญมีความสุข ในทุก ๆ ตอนเช้าของวัน ตื่นเช้ามาทำนั้นทำนี้ ปรุงอาหารเสร็จ ก็นั่งทานกาแฟ นั่งดูต้นไม้ ได้นั่งอยู่เพียงลำพังเงียบๆอากาศดี ก็แฮปปี้ แดดดีก็สวย วันนี้ครึ้ม ๆ มันก็เป็นอีกแบบนึง หนาวนี้หนาวอยู่นับเป็นเวลาหลายวัน ก็รู้สึกโชคดี ที่ปีนี้หนาวนาน ยังแฮปปี้กับโมเมนต์นั้นเหมือนเดิม หากสู่ขวัญ อาทิตย์หน้าต้องตายแล้วนะ อะไรบ้างที่พวกเราคิดถึง อาจจะคิดถึงตอนที่เรานั่งรับประทานกาแฟเงียบๆของพวกเราคนเดียว ช่วงเช้า นั่งมองดูต้นไม้ แล้วคิดโน่น คิดนี่ไป”

มันเรียบง่ายอย่างยิ่ง?

“ขวัญมีความคิดว่า ขวัญโชคดี ที่ว่าถ้าเกิดความสุขของขวัญ มันง่ายเท่านี้มันก็กลายเป็นขวัญ มีความสุขได้ทุกวันเลยเนอะ ต่อให้พวกเรามีเรื่องทุกข์อยู่ พวกเราก็จะตื่นมาแล้วมีโมเมนต์นั้น เป็นช่วงที่เราได้อยู่เงียบๆแล้วคิด ปล่อยวางกับอะไรบางอย่าง คิดที่จะช่างเถอะ และเห็นด้วยกับความไม่ได้ดั่งใจนั้น แม้กระทั่งมันเป็นสุข หรือ ทุกข์ มันก็เป็นจังหวะที่ดี เป็นโมเมนต์ที่ดี ทุกวันที่พวกเรามีอยู่ในทุกๆวัน”

ชิงถล่มก่อน! รัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ รอบใหม่โจมตียูเครน หลังตะวันตกรับปาก มอบรถถังหนักให้เคียฟ

ข้าราชการยูเครน จะต้องรุดหาที่กำบัง ในวันพฤหัสบดี (26มกราคม) หลังรัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ และก็ ส่งโดรนจู่โจมทั่วประเทศรอบใหม่ สังหารอย่างน้อย 11 ราย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ หนึ่งวัน หลังจากเคียฟได้รับคำสัญญาจากตะวันตก ว่าจะมอบรถถังรบ สำหรับต่อสู้สกัดการรุกรานของมอสโก

คำแถลงของเยอรมนี รวมทั้ง สหรัฐฯ ที่พูดว่า จะส่งมอบรถถังหลายสิบคัน ให้ยูเครน ได้โหมกระพือความโกรธมากจาก รัสเซีย ซึ่งที่ผ่าน ๆ มามักโต้ตอบแนวโน้มความสำเร็จต่าง ๆ นานา ของยูเครน ด้วยการระดมโจมตีทางอากาศ ที่ทำให้ผู้คนหลายล้านคน จำต้องอยู่ โดยไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ เช่นเดียวกับเครื่องที่ใช้สำหรับในการทำความร้อน แล้วก็ น้ำ

เครมลินระบุ พวกเขามองคำสัญญาของตะวันตก เกี่ยวกับการมอบรถถังแก่เคียฟ เป็นหลักฐานที่แจ่มกระจ่างยิ่งขึ้น ว่า สหรัฐฯ และก็ ยุโรป กำลังเข้าเกี่ยวพันโดยตรง ในการสู้รบที่กินเวลามานาน 11 เดือน คำกล่าวหาที่ทางอเมริกา และ ยุโรปปฏิเสธ

ยูเครนเปิดเผยว่า พวกเขาจัดแจงสอยโดรนที่รัสเซียส่งมา ได้หมดทั้ง 24 ลำ เมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึง 15 ลำรอบเมืองหลวง รวมทั้งจรวดนำวิถีรัสเซีย 47 ลูก จากทั้งหมด 55 ลูก ซึ่งนิดหน่อยเป็นการยิงออกมาจากเรือบินทิ้งระเบิด ทางยุทธศาสตร์ Tu – 95 ในแถบอาร์กติก ของรัสเซีย

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ระบุในคำประกาศ ที่เผยแพร่ทางเทเลแกรม ว่า “เป็นอีกครั้ง ที่ความพยายามของประเทศก่อการร้าย ที่ข่มขู่เราด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีขนานใหญ่ ต้องประสบความพ่ายแพ้ ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งรัสเซียจะประสบความพ่ายแพ้เร็ว ๆ นี้”

รัวยิงขีปนาวุธ

โฆษกหน่วยฉุกเฉินเปิดเผยว่า มีคนตาย 11 ราย และ บาดเจ็บ 11 คน ในเหตุโดรน และก็ รัวยิงขีปนาวุธ จู่โจม

ซึ่งครอบลุม 11 แคว้น นอกเหนือจากนี้แล้ว มันยังก่อความทรุดโทรมแก่อาคารต่าง ๆ 35 แห่ง

เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศ ดังระงมทั่วยูเครน ในขณะที่ผู้คน กำลังมุ่งหน้าไปดำเนินการ ส่วนในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ ฝูงคนจำต้องหลบเข้าที่กำบัง ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นระยะเวลาหนึ่ง

เดนีส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครน เปิดเผยว่า สถานีกระแสไฟฟ้าย่อยหลายแห่ง ถูกโจมตี ด้วยที่รัสเซีย ยังคงเดินหน้าเล็งวัตถุประสงค์กระหน่ำสถานที่ตั้งทางพลังงาน

DTEK บริษัทเอกชนผู้สร้างพลังงานรายใหญ่ที่สุด ของยูเครน กล่าวว่า ทางบริษัทได้ดำเนินการปิดปฏิบัติการฉุกเฉินล่วงหน้า ก่อนถูกโจมตีในกรุงเคียฟ เหมือนกันกับพื้นที่รอบๆ และก็ ในแคว้นโอเดซา กับแคว้นดนิโปรเปตรอฟสก์

โอเดซา เมืองท่าริมทะเลดำ ซึ่งทางยูเนสโก กำหนดให้เป็นแหล่งมรดกโลก ที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย ในวันพุธ (25เดือนมกราคม) ขีปนาวุธของรัสเซีย ก่อความย่ำแย่แก่ที่ตั้งทางพลังงาน ไม่นานก่อนที่ แคทเธอรีน โคลอนนา รัฐมนตรีต่างประเทศประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาเยือน

“สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ การโจมตีระลอกใหม่ ใส่โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือนของยูเครน ไม่ใช่การทำสงคราม แต่มันเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม” เธอกล่าว ทั้งนี้ โคลอนนา มีกำหนด พบปะกับ ดมีโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน เพื่อหารือเกี่ยวกับความให้การช่วยเหลือ ทางด้านการทหาร

แล้วก็ มนุษยธรรม แล้วก็ ความเป็นไปได้ที่ฝรั่งเศส จะเข้าร่วมกับพันธมิตรนาโต้ สำหรับในการจัดหารถถังต่อสู้แก่ยูเครน ซึ่งในกรณีนี้ก็คือรถถังเลคเลิร์ค

รัสเซีย ยิงขีปนาวุธ

ที่ผ่านมา ทั้งมอสโก และก็เคียฟ ต่างพึ่ง รถถัง T – 72 ในยุคสหภาพโซเวียต และคาดหมายว่า จะมีการเริ่มโจมตีทางพื้นทวีปรอบใหม่ ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้

ยูเครน ร้องขอรถถังยุคใหม่ หลายร้อยคัน ในความมุ่งหวังว่า จะใช้พวกมันทำลายแนวปกป้องของรัสเซีย เพื่อทวงคืนดินแดนที่ถูกครอบครอง ทางภาคใต้ และ ภาคตะวันออกของประเทศ “กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ ความรวดเร็ว และปริมาณ ในการมอบรถถังสนับสนุน” เซเลนสกี กล่าวในวิดีโอ เมื่อวันพุธ (25ม.ค.)

สหรัฐฯ ไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับ การทำงานรถถัง เอ็ม 1 เอบรามส์ ที่ยากต่อการบำรุงรักษา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ตกลงจะมอบให้ ยูเครน 31 คัน เพื่อโน้มน้าวให้ เยอรมนี สัญญาว่า จะมอบรถถัง ลีโอพาร์ด ที่ผลิตโดยเยอรมนี และก็ ใช้งานง่ายกว่า แก่เคียฟเช่นกัน

เบื้องต้น เยอรมนี จะมอบรถถัง 14 คัน ให้เคียฟ และ อนุญาตให้พันธมิตรยุโรป อื่น ๆ ส่งต่ออีกทอด พร้อมระบุรถถังลีโอพาร์ด คงจะเข้าสู่ปฏิบัติการได้ในอีก 3 ถึง 4 เดือน ข้างหน้า ส่วน สหราชอาณาจักร ระบุในวันพฤหัสบดี (26มกราคม) คาดหมายว่า รถถังชาเลนเจอร์ 14 คัน คงจะจัดส่งถึงมือ ยูเครน ภายใน 2 เดือน

นอกนั้นแล้ว แคนาดา เปิดเผยในเวลาถัดมา ว่าจะส่งรถถังลีโอพาร์ด 2 ปริมาณ 4 คันให้แก่ ยูเครน รวมทั้งกำลังพลของกองทัพ ที่จะช่วยฝึกหัดทหารยูเครน สำหรับใช้งาน ยุทโธปกรณ์ดังกล่าว

ที่มาของข่าวด้านการทูต 2 คน กล่าวมาว่า ฝรั่งเศส และก็ อิตาลี ก็กำลังได้ข้อสรุป เนื้อหาทางด้านเทคนิค สำหรับการหาระบบคุ้มภัยทางอากาศ SAMP / T แก่ยูเครน แต่ยังไม่เป็นที่เด่นชัดว่า การตัดสินใจขั้นตอนสุดท้าย จะเกิดขึ้นเร็วเพียงใด

(ที่มา:รอยเตอร์)

ส่องด่วน! ทะเบียนรถนายกฯ ลงพื้นที่สุพรรณบุรี เขินเลย เจอชาวบ้านขอหอมแก้ม

นายกฯ ฟิต เสร็จ ครม. บินลง ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี รับปัญหาราษฎรไม่มีที่ทำกิน 113 ราย หลังจากร้องเรียนไม่คืบ ย้ำ มาขจัดปัญหา ยึดตามกม. มิได้หวังให้รักและไม่ได้มาการเมือง พบราษฎรขอหอมแก้ม แก้เขิน บอกต้องระมัดระวังโควิด ให้ถ่ายภาพแทน

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกฯ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อตรวจราชการ โดยเมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังพื้นที่ใช้ประโยชน์ ณ แปลงจัดสรร ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง ตรวจติดตามพื้นที่ทำกิน กรณีประชาชนไร้ที่ทำมาหากิน 113 ราย ร้องทุกข์การขอจัดที่ดินเพื่อเลี้ยงชีพล่าช้า

ต่อจากนั้น นายกฯ พบปะกับประชาชน ที่ได้รับจัดสรรพื้นที่ใช้ประโยชน์ ที่ อบต. วังยาว เมื่อนายกฯ มาถึงได้รับ พวงมาลัย และดอกไม้จากชาวบ้าน โดยระบุว่า ขอบคุณมากทุกคน ตนมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นายกฯ ลงพื้นที่สุพรรณบุรี
นายกฯ ได้ถามไถ่ปัญหากับชาวบ้าน โดยบอกว่า

นายกรัฐมนตรี ทำ คทช. มาหลายปีแล้ว ก่อตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนกระทั่งรัฐบาลนี้ วันนี้ถือโอกาสมาดูว่ามีปัญหาอะไรอีกบ้าง รับรองว่าตนมาในนามนายกฯ รักทุกคนอยู่แล้ว รับรองจะต้องทำให้ถูกต้อง

เดินระหว่างที่นายกรัฐมนตรีพูดกับชาวบ้าน ไมค์ติด ๆ ดับ ๆ จนประชาชนแซวว่า ไม่ต้องใช้ไมค์ นายกฯไฟแรงอยู่แล้ว

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้มาเพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองมีนโยบายเรื่องความเท่าเทียม และก็การเข้าถึงโอกาส ดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ว่าทั้งผองต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย กฎกติกาจะต้องเห็นด้วยซึ่งกันและกัน

นายกฯ สัญญาว่า วิธีการทั้งหมดนั้นอนุมัติให้อยู่แล้ว แต่ว่าจะต้องตรวจดูเอกสารสิทธิ์ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยได้สั่งการให้ดูที่ดิน 2 แปลงใหญ่

ว่าเป็นการเช่าตามกฏหมายหรือเปล่า ออกมาแบบนั้นได้อย่างไร จะต้องไปพิจารณาอีกที พร้อมระบุอีกว่า กติกาสำคัญคือต้องตรวจสอบว่า ราษฎร 113 ราย

มีที่ดินทำมาหากินที่อื่นหรือไม่ หากมี จะมิได้รับการจัดสรร ซึ่งชาวบ้านรับปากว่า ครับ ส่วนนายกฯแซวว่า พูดเพราะ เป็นทหารเก่าหรือเปล่า

นายกฯ ถามคำถามว่า ใครคนไหนเป็นคนแบ่งสรรให้ ชาวบ้านว่า “คุณพี” นายกรัฐมนตรี ถามคำถามว่า “คุณพี” คือใคร แต่ว่าไม่ว่าใคร ก็ตัดสินมิได้ เพราะว่าตนเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้านายกรัฐมนตรี ตัดสินไม่ได้ ใครก็ทำให้ไม่ได้เหมือนกัน

ดังนี้ ราษฎร บอกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่ดำเนินการให้ นายกรัฐมนตรี จึงรีบปรามว่า ไม่ใช่ ศัตรูกัน คนประเทศไทยด้วยกันทั้งนั้น ตรงนี้ตนได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว

นายกรัฐมนตรี พูดว่า ได้สั่งไปว่า ให้ดำเนินการให้ราษฎร 113 ราย นี่ก่อน ซึ่งหากถูกต้อง จะต้องทำแผนผัง รวมทั้งจับสลากว่าใครอยู่ตรงไหน ซึ่งจากการเอกสาร พบว่า มีราษฎรไม่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ 59 ราย เหลือเพียง 54 รายที่ถูกต้อง พร้อมย้ำว่า ให้ทุกคนต้องยอมรับกฎข้อตกลงนี้

นายกรัฐมนตรี ไต่ถามถึงที่ดินแปลงหนึ่งที่มีการไปล้อมรั้วลวดหนาม บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปหรืออย่างไร พร้อมถามว่า โอเค แล้วก็พอใจไหม ตนมาประสานให้ทุกอย่างเดินหน้า มิได้มาทำ เพื่อให้ทุกคนรักตน หากจะรักก็รักอยู่แล้ว แต่ว่าทำวันนี้ คือทำให้ถูกต้อง วันนี้ตนมาประสาน เพื่อให้ดำเนินงานต่อไปให้ได้ มิได้ทำเพื่อเอาอกเอาใจ วันนี้หากสำเร็จต้องให้เครดิตกับผู้ว่าฯ และคณะทำงาน อย่าไปโกรธกัน โกรธกันไม่ได้ เพราะต้องรักษากฎหมาย

หลักนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ ต้องเดินคู่กัน ถ้าขัดแย้งกันบ้านเมืองก็เดินต่อไปไม่ได้ จำต้องสร้างความรักความสามัคคี จะบอกว่ารักนายกฯหรือไม่ชอบผู้ว่าฯ ก็มิได้ ต้องมีกฎหมายดูแล วันนี้การทำงานก็มีรองนายกฯอยู่หลายท่าน

ส่องด่วน ทะเบียนรถนายกฯ
ทั้งนี้ ราษฎร พูดว่า รู้สึกดีใจ ที่ นายกฯ ลงมาดูด้วยตัวเอง เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับ หากนายกฯไม่มา

อาจจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์ได้ ในเวลาเดียวกันนี้ มีชาวบ้าน กอดนายกฯ แล้วก็ขอถ่ายรูป กล่าวว่า นายกฯ หล่อกว่าในทีวี ทั้งมีชาวบ้านขอหอมแก้ม แต่นายกฯ กล่าวว่า โควิดยังมีอยู่ ก็เลยให้ถ่ายภาพด้วยเท่านั้น

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าปัญหามี แต่ว่าจะให้ลงไปทุกพื้นที่คงจะไม่มีเวลา เพราะเหตุว่ามีปัญหา และก็งานอีกเยอะแยะที่จำต้องทำ เพียงแค่ขอให้ยกปัญหาครั้งนี้ เป็นบทเรียน เพื่อจะนำร่องไปแก้ปัญหาที่ทำกินในพื้นที่อื่นได้อย่างไร

นอกจากนั้น ยังมีตัวแทนชาวบ้านอีก 6 คน ขอให้นายกรัฐมนตรี จัดการกับปัญหาที่ดินในการประกอบอาชีพที่ทับซ้อนกับที่ดินของรัฐ มีราษฎร 95 ครอบครัว ที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ ปัญหานี้ประชาชนเข้ามาทำกินในพื้นที่ ก่อนปี 2506 ที่ภาครัฐเข้ามาจัดระเบียบ ประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวน ทำให้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยนายกฯขอให้ประชาชนใจเย็น ในช่วงเวลานี้กำลังอยู่ในกติกา ที่กำลังแก้อยู่ รวมทั้งจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณา ซึ่งปัญหานี้เป็นการประกาศพื้นที่ทับซ้อน ภายหลังทำพื้นที่อัตรา 1:4000 วันนี้ตนมาแล้ว ก็จะรับเรื่องไว้ใหม่

นายกฯ กล่าวก่อนเดินทางกลับ ว่า วันนี้ตนพูดในนามรัฐบาล มิได้มาหาเสียง หน้าที่ของ นายกรัฐมนตรีคือให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทั้งประเทศ การลงพื้นที่ครั้งนี้ การนำแนวทางไปใช้กับพื้นที่อื่นด้วย เนื่องจาก คทช. จะจัดระเบียบทุกจังหวัดทั่วทั้งประเทศ ซึ่งมีปัญหาอยู่มากมาย ชาวบ้านมีทั้งรู้เรื่องและไม่เข้าใจ แต่นายกในฐานะประธาน คทช. ก็ได้มารับฟังปัญหาแล้ว ปรับปรุงเพื่อลดความขัดแย้ง ให้ ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรมอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งผองเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

ในการลงพื้นที่คราวนี้ นายกรัฐมนตรี ใช้รถยนต์ฟอร์จูเนอร์ สีดำ เลขทะเบียน กฉ 4212 ยะลา

“ดิว อริสรา” แจงออกมาแฉ 4 พี่น้อง บ. เพราะอยากเป็นกระบอกเสียง ไม่ปล่อยผ่านกับเรื่องที่ผิดจนกลายเป็นปกติในสังคม

หลังจากออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แฉ 4 พี่น้อง บ. ทำธุรกิจเว็บพนันใหญ่ พร้อมบอกฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สปายทำงานกันด้วย ก็ทำเอา “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” เป็นเป้าสงสัย ว่าที่เจ้าตัวออกมาโพสต์อย่างนี้ ไม่กลัวมีปัญหาหรอ และ หลายท่านต่างออกมาตั้งข้อคิดเห็นว่า จุดหมายในครั้งนี้ของดิว คืออะไรกันแน่ ปัจจุบัน ดิว อริสรา ได้ออกมาอธิบาย ผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า….

“สวัสดีค่ะ หลายวันที่ดิวหายไป ไม่ได้มีโอกาสออกมาพูด หรือ ชี้แจงอะไรเพราะว่า ดิวติดธุระส่วนตัว แล้วก็ มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องจัดแจงให้เป็นระเบียบ

วันนี้มีเวลา เลยขออนุญาต มาชี้แจงข้อสงสัย และ ตอบคำถามบางคำถาม ผ่านทาง Facebook ส่วนตัว เพื่อจะได้ไม่เป็นการก่อกวนคนรอบข้างตัวดิว ให้จำเป็นต้องมานั่งตอบปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น

(ยาวหน่อยนะคะแต่อยากให้อ่านให้จบ)

ประการแรก ดิวจำต้องขอบคุณ สำหรับความห่วง ทั้งจากผู้ที่รู้จัก และ ไม่รู้จักในการกระทำครั้งนี้ ที่ดิวออกมาโพสต์แชร์ข้อมูลต่าง ๆ (เป็นความจริง) ขอบพระคุณจากใจมาก ๆ นะคะ แต่ดิวอยากจะพูดว่า ดิวคิดทบทวนไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว และ ปัจจุบันนี้ ดิวมีความสุข ปลอดภัยดี สามีดิว ตัวดิว ครอบครัวเราทำอาชีพปกติ เงินสะอาด และ ไม่มีอะไรจำต้องกังวล แอบ หรือ กล่าวง่าย ๆ คือ บ้านพวกเราไม่มีอะไรที่ผิด ให้ย้อนกลับมารังแกพวกเราได้เลย และก็ ดิวมิได้จะไม่กลับประเทศไทยนะคะ กลับแน่นอน ดิวขอขอบพระคุณทุก ๆ ความปรารถนาดี รวมทั้ง ความห่วงในความปลอดภัยของดิว แล้วก็ ครอบครัวนะคะ

ดิว

จากการกระทำของดิว … ดิว ไม่ได้ต้องการความอวยยศ ชื่นชม ยกยอ และขอชี้แจง กรณี แฉ 4 พี่น้อง ตรงนี้ว่า

ดิวไม่ได้ทะเลาะกับใคร และ ไม่ได้ต้องการอะไรจากใคร จากในสิ่งที่บอก ไปมากกว่า ด้วยวัน แล้วก็ ในช่วงเวลาที่เห็นควร แล้วก็ ขอเป็นกระบอกเสียง ๆ หนึ่ง ที่ไม่ต้องการเพียงแค่เป็นผู้ที่ รับทราบ มองเห็น รวมทั้งปล่อยผ่าน กับเรื่องที่ผิด และปล่อยผ่านมันไป จนถึง เรื่องที่ผิด กลายเป็น เรื่องปกติ ที่สังคมมองว่าทั่วๆไป จนมันกลายเป็นคำว่า “ผิด” เป็น “ถูก”

สำหรับเรื่องราวในอดีต ของดิวกับใคร อดีต คือ อดีต ที่ดิวผ่านมา รวมทั้งดิวไม่ขอโทษใคร ไปมากกว่าตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพูดถึง คิดกันไปไกล

เนื่องจากประเด็นมัน คือเพียงแค่ สิ่งที่ดิวทำ ดิวมีคำถามที่มีในใจตัวเองเสมอมาว่า ถ้าเราทราบ เราเห็นว่า อะไรที่มัน ไม่ดี ไม่ถูก ไม่สมควร ผิดที่ผิดทาง แล้วก็เราปล่อยมันไป ปล่อยมันไว้ แล้วเมื่อใดอะไร ๆ ในสังคม และ สิ่งที่พวกเราต้องอยู่ มันจะดียิ่งขึ้นสักที

ดิวมั่นใจว่า ในมุมมองผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย บางสิ่งบางอย่างบางอย่าง มันเรื่องที่เปลี่ยนยาก แต่ถ้าเกิดไม่เริ่ม มันก็อาจจะไม่มีวันแปลง รวมทั้ง พวกเราจะต้องอยู่กันอย่างนี้ จริงหรอ? ปัญหาคือ ถ้าหากจริง เด็ก หรือใครก็ตามที่เติบโตมา และต้องอยู่ในสังคม ที่มีอะไรแบบงี้ มันจะท้อแท้แค่ไหน

ถ้าคนที่ทำผิด มีชีวิตที่ดีเปิดเผยตัวเอง ออกหน้าแบบปกติทั่วไป ผู้ที่ประพฤติดีทำถูก หาเลี้ยงชีพสุจริต สู้กับชีวิตไปแต่ละวัน จะท้อแท้แค่ไหน ด้วยเหตุว่าดีเท่าไหร่ มันก็คงไม่ทัน คนที่ทำผิด และ รวยทางลัด กับสิ่งที่ผิดอยู่ดี

ชีวิตมนุษย์บางทีก็อาจจะอยู่ที่ช่องทาง และโอกาสแต่ละคน มีแตกต่าง แต่ดิวเชื่อว่าคนทุกคนต้องการประพฤติดี ให้ยอดเยี่ยมให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว คนทุกคนเลือกได้… คำถามคือ สำหรับผู้ที่ทำผิด ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด และ ยังเลือกทำผิดกันทั้งครอบครัว แล้วก็ กล้าดำเนินชีวิตแบบคนสามัญ ในแบบฉบับ “รวยผิดปกติ” มันถูกต้อง ถูกที่ ถูกทางแล้วเหรอ

อย่างไรก็ตาม ดิวเชื่อ แล้วก็มีความหวังว่า กระบวนการยุติธรรม รวมทั้ง ตำรวจไทย เก่ง มีความรู้และมีความเข้าใจ แล้วก็ความเที่ยงธรรมมากพอ ที่จะจัดการ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในอะไรที่ผิด ให้อยู่ถูกที่ ดิวเชื่ออย่างนั้นนะ จากข่าวสารก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา และก็ความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่องก่อนหน้านี้ ของประเทศพวกเรา

ดิว แจง

สุดท้าย ดิวอยากบอกทุกคนที่เป็นห่วงดิว ให้เข้าใจดิวว่า

ความเห็นในด้านลบ หรือ โพสต์ต่าง ๆ ที่ออกมาตีกลับจากสิ่งที่ดิวทำ มันไม่ได้ทำให้ดิวรู้สึกอะไร เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ดิวรู้เรื่องความจริงนี้ดี และไม่ขอสนใจ เนื่องจากดิว มีจุดยืน และเข้าใจตัวเองมากพอ

ดิวทราบดีว่าสิ่งที่ทำมันค่อนข้างเสี่ยง

เนื่องจาก 4 พี่น้อง มีคนนึงเป็นตำรวจ ที่ใช้เส้นเข้าไป ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจ ตำรวจที่ขับขี่รถสปอร์ตไปดำเนินงาน แต่ถ้าหากตัวดิวไม่เสี่ยงทำ ทุกอย่างก็คงไม่มีอะไร ที่เปลี่ยนแต่กลับแย่ลง

ขอบคุณทุกความสนใจ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ ขอบคุณทุกคน ที่ชื่นชม ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ขอบคุณจริง ๆ

ขอฝากความคาดหวัง แล้วก็เป็นกำลังใจให้กับพี่ ๆ อา ๆ ตำรวจไทย แล้วก็ นักสืบโซเชียล คนเก่งทั้งหลาย ช่วยเหลือกันทำงาน และก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับสังคมไทยนะคะ

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ฝากแชร์ด้วยคะ

ปล. สำหรับคนที่มอง และก็สนใจประเด็น สำหรับการโพสต์ของดิว ให้ประเด็นอื่น ดิวเพียงแค่อยากจะกล่าวว่า สิ่งที่สนใจ มันมิได้ทำให้เกิดคุณประโยชน์อะไร แต่สิ่งที่ดิวสื่อ ถ้าเกิดมันได้รับการปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยน มันจะเกิดประโยชน์ ต่อสังคมแน่นอนค่ะ”

ฆ่าชิงทรัพย์ เปิดไทม์ไลน์ หนุ่มวัย 21 กดแอปฯ เรียกรถขอโชเฟอร์ผู้หญิง ก่อนฆ่ารัดคอชิงทรัพย์

เปิดไทม์ไลน์ คนร้ายโหดเหี้ยม กดแอปฯ เรียกโชเฟอร์หญิง ก่อน ฆ่าชิงทรัพย์ รถยนต์ “แกร็บ ประเทศไทย” ออกแถลงการณ์ ผู้เสียชีวิตไม่ใช่พาร์ทเนอร์บริษัท

แม่หมู หรือ นางเกศยุคล อายุ 50 ปี หายตัวไป เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2566 เวลาราวๆ 12.48 น. โดยขับขี่รถเก๋ง สีบรอนซ์เงิน ออกไปรับผู้โดยสารบริเวณ จากแฟลตปลาทอง ตึก315 รังสิต จ.ปทุมธานี ไปส่งที่ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

จากนั้นทางญาติของแม่หมู ไม่สามารถที่จะติดต่อแม่หมูได้อีก ก็เลยได้ประกาศตามหา สุดท้ายตำรวจสืบหา พบแม่หมูถูกฆาตกรรมชิงทรัพย์

15 เดือนมกราคม 2566 เวลาประมาณ 18.00 น. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณแฟลตปลาทอง รังสิต ทราบชื่อ นายวีระณภูมิ หรือ อู๋ อายุ 21 ปี มีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหา หนีรับราชการทหาร เบื้องต้นผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ ใช้เชือกรัดคอเหยื่อจนตาย!

ล่าสุด วันที่ (16 ม.ค. 2566) เวลาโดยประมาณ 13.30 น. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง ได้ติดตามรถเก๋งของกลาง จนพบ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจสอบ พร้อมเก็บลายนิ้วมือแฝง

และก็ หลักฐานต่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี ร่วมถึงนำเชือกที่ฆาตกรใช้ก่อเหตุ นำมาจำลองเหตุ นานกว่า 2 ชั่วโมง

หลังจำลองเหตุการณ์แล้ว ในเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสตร์ ผู้กำกับการสภ.บางบัวทอง แถลงข่าวจับกุมตัว นาย วีรัณัฐภูมิ พร้อมหลักฐาน รถเก๋งสีบรอนซ์เงิน และ เชือกที่ใช้สำหรับเพื่อการก่อเหตุ ที่ สภ.บางบัวทอง

ฆ่าชิงทรัพย์
โดย พล.ต.ต.ไพศาล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พูดว่า

“พฤติกรรมของนาย วีระณัฐภูมิ หรือผู้ต้องหาได้ให้การว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 66 ได้เรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันหนึ่ง โดยระบุว่าต้องเป็นผู้หญิงเพราะจะให้ไปรับแฟนสาวที่แฟลตปลาทอง รังสิต จังหวัดปทุมธานี ไปส่งที่หมู่บ้านพฤกษ์ลดา แต่เมื่อถึงจุดนัดรับ กลับมีเพียงผู้ต้องหาที่ขึ้นรถโดยไร้ซึ่งแฟนสาวที่อ้างถึง หลังผู้ตายขับรถถึงจุดหมาย ผู้ต้องหาไม่ยอมลงจากรถ ออกอุบายให้ผู้ตายขับรถไปส่งต่อหมู่บ้านเดอะวิลล่า บางบัวทอง

รถจอดลงที่ หมู่บ้านย่านบางบัวทอง วินาทีนั้นผู้ต้องหาจึงใช้เชือกรัดคอผู้ตายจนเสียชีวิตภายในรถ และใช้เชือกที่รัดคอเอามามัดมือมัดขาของผู้ตาย จากนั้นจึงนำศพไปทิ้งในป่าข้างทางภายในซอย วัดท่าเกวียน ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ค้นตัวผู้ตายได้เงินสดมาจำนวน 200 บาท โทรศัพท์ 1 เครื่องนำไปขายได้เงินมา 3,500 บาท ส่วนรถผู้ตาย ผู้ต้องหาได้นำไปขายให้กับคนรู้จักผ่านนายหน้าขายรถ 3 คน ในวันต่อมา (15 ม.ค. 66)

โดยในวันที่นำรถไปขาย ผู้ต้องหาได้ไปรับ น.ส.ปนัดดา ซึ่งเป็นแฟนสาวนั่งรถไปด้วย และได้อ้างกับแฟนสาวว่าเป็นรถของพ่อให้นำไปขาย จุดนัดรับรถคือ ปั๊มน้ำมันย่าน ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งตกลงราคาขายรถกันที่ 40,000 บาท แต่ผู้ต้องหาได้รับเงินเพียง 25,000 บาท ส่วนต่างอีก 15,000 บาท ถูกหักให้กับนายหน้า 3 ราย ”

ส่วน นางสาวปนัดดา แฟนสาวของผู้ต้องหา จากการสอบปากคำเบื้องต้น ยังให้การปฏิเสธ ว่ามีส่วนรู้เห็น หรือร่วมวางแผน กับตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะทำการสืบสวนขยายผลต่อไป

ฆ่าชิงทรัพย์ รถ

ทางด้าน แกร็บ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ กรณีที่มีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับเหตุ ฆ่าชิงทรัพย์ ที่เกิดขึ้น

กับผู้ขับเพศหญิง ซึ่งให้บริการเรียกรถส่วนตัว ผ่านแอปพลิเคชัน โดยระบุว่า

จากกรณีที่มีสื่อมวลชนได้นำเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นกับคนขับเพศหญิงรายหนึ่งซึ่งให้บริการเรียกรถยนต์ส่วนบุคคลผ่านแอปพลิเคชัน โดยระบุว่าเป็นพาร์ทเนอร์ “คนขับแกร็บ” หรือให้บริการ “แกร็บคาร์เลดี้” นั้น แกร็บ ประเทศไทย ขอเรียนชี้แจงว่า ภายหลังการตรวจสอบข้อมูล ทั้งชื่อและนามสกุล รวมถึงทะเบียนรถที่ปรากฏตามรายงานข่าว ไม่พบข้อมูลของผู้เคราะห์ร้ายในฐานข้อมูลพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ โดยบริษัทฯ ได้ประสานงานเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินคดีทันทีตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และขอยืนยันว่า ในฐานะผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งได้รับการรับรองแอปพลิเคชันสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จากกรมการขนส่งทางบก แกร็บให้ความสำคัญสูงสุดกับการรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทั้งผู้ใช้บริการและพาร์ทเนอร์คนขับ

แฟนคลับสุดคิดถึง เปิดภาพปัจจุบัน ‘จิ๊บ คีตภัทร’ นางเอกดัง ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

จัดเป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวยที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยหลงใหลเธอหนักมาก สำหรับสาว จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ฝากผลงานสุดปังเอาไว้เป็นอย่างมาก อาทิ กามเทพลวง, กว่าจะรู้เดียงสา, หมอผีไซเบอร์, เบญจา คีตา ความรัก ฯลฯ แม้ในขณะนี้คุณจะไม่ค่อยมีผลงานแสดงออกทางหน้าจอให้ได้เห็นกันเท่าไหร่ แต่บอกเลย แฟนๆรักเธอ และนึกถึงหนักมาก

งานนี้เราเลยไม่พลาด เชิญชวนทำความรู้จักสาว จิ๊บ เบาๆและพาไปชมรูปสวยๆของสาวจิ๊บกัน ที่บอกเลยว่า คุณงาม หุ่นดี และเด่นไม่เปลี่ยนแปลงเลย โดยสาวจิ๊บเกิด|วันที่ 21 พ.ย. พุทธศักราช 2527 เป็นผู้แสดงคนประเทศไทยในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว อันติมานนท์ เป็นดาราหนังสาวชาวไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของดาราชายคือ จิม เจจินตัย แวนดิว

จิ๊บ มีผลงานเรื่องแรก ดังเช่น กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบทบาท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกใน ละครหลังข่าว เรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่ง ละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้ คีตภัทร เป็นดาราที่รู้จักกัน และมีชื่อในยุคนั้น ถัดมา คีตภัทร รับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการสลับบทเป็นนางร้าย และเป็นดาราที่มีคุณภาพ และมีความสามารถ ด้านการแสดงอีกคับคั่งนั่นเอง

โดยหลังจาก จิ๊บ เบาๆงานในวงการบันเทิงไป จากทางหน้าจอ ก็ทำเอาแฟนคลับคิดถึงหนักมาก พากันมาส่องไอจีของเธอ และบอกรัก บอกคิดถึง รวมถึงส่องชีวิตสุดปังของเธอ กันอย่างมากมาย

แฟนคลับสุดคิดถึง จิ๊บ คีตภัทร

​​ทำความรู้จัก สวยเก่งครบสูตร จิ๊บ คีตภัทร อดีตนางเอกดังสมัย 90

เป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวย ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานมากๆสำหรับ จิ๊บ คีตภัทรน้องสาวของดาราชายหนุ่ม จิม เจจินตัย อันติมานนท์ โดยทั้ง จิ๊บ และ เจจินตัย เป็นผู้แสดงที่มีชื่อเสียงมากมายในสมัย 90 แม้ใครเคยเห็นละครดังช่อง 7 อย่างเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก หรือ กว่าจะรู้เดียงสา เชื่อว่าต้องคุ้นหน้า จิ๊บ คีตภัทรวันนี้ เราจะพามาทำความรู้จักจิ๊บ คีตภัทร กันอีกรอบ เผื่อผู้ใดที่ยังไม่ทราบ หรือ จำสาวคนนี้มิได้

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ

กำเนิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2527

เป็นผู้แสดงชาวในสังกัดนักแสดงวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

จิ๊บ คีตภัทรเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์

จิ๊บ เป็นผู้แสดงสาวคนไทยซึ่งเป็นน้องสาวของ ผู้แสดงฝ่ายชายเป็น จิม เจจินตัย อันติมานนท์

สำหรับเรื่องของการเข้าวงการบันเทิงของจิ๊บ คีตภัทร นั้น เธอเริ่มเข้าวงการสายบันเทิงไทย เป็นดาราหนังในสังกัดศิลปินวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

และมีผลงานเรื่องแรกอาทิเช่น กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในหน้าที่ แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่งละครเรื่อง ลูกหลง ซึ่ง จิ๊บ ส่งผลงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณเป็นนักแสดงที่รู้จักกัน และมีชื่อเสียงในสมัยนั้น และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คุณเป็นที่รู้จักเป็นเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก ซึ่ง จิ๊บ รับงานละครหลายๆเรื่องและเป็นการสลับบทบาทเป็นนางร้ายและเป็นดาราที่มีคุณภาพ และมีความสามารถด้านการแสดงเป็นอย่างมาก

พักหลังๆเธอได้เฟดตัวออกจากวงการบันเทิง และยังปฏิบัติงานมีธุรกิจส่วนตัว รวมถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวพร้อมกันไปด้วย และนอกจากนี้ จิ๊บ ยังเป็นพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารไทย ที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกด้วย จำเป็นต้องกล่าวว่า สาวคนนี้ ทั้งสวย มากความสามารถ ครบสูตรจริงๆ

ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

“จิ๊บคีตภัทร” จ่อฟ้อง! สับเละคนปล่อยข่าว นางเอก จ. กระทบครอบครัว-แฟน

หลังจากที่ผู้ใช้ ติ๊กต๊อก รายหนึ่ง ได้ออกมาเผยข้อความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนหนุ่มอัดคลิปแบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็วๆ นี้เจ้าตัวเตรียมแถลงข่าวแน่นอน”

ต่อมา ก็ได้โพสต์อีกว่า “โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

จนกระทั่งทำให้ชาวเน็ตแอบเดากันไป ต่างๆนานา ว่าอดีตนางเอกจ. ช่องหลากสีเป็นใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นแอบมีคนผุดชื่อขึ้นมา ว่าใช่ “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” ผู้แสดงสาวสมัย 90 หรือเปล่า ทำให้วันนี้ (13 เดือนมกราคม) เจ้าตัวต้องรีบออกมาอธิบายผ่านไอจี ว่าตัวเองไม่ใช่คนภายในข่าวอย่างแน่แท้ พร้อมจะดำเนินคดีตามกฎหมาย กับคนที่ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิและ ความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”

ทร.เผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 เรือหลวงสุโขทัย คือ "ต้นเรือพลับ"

โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผย ผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง คือ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ เสาร์นี้จัดเตรียมเคลื่อนร่างจาก ฐานทัพเรือกรุงเทพ ไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ณ วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา

พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่าปัจจุบัน จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง กองทัพเรือยังคงดำรงการค้นหา ผู้สูญหาย โดยตลอดต่อไป ผลการปฏิบัติจนถึงเดี๋ยวนี้ ยังไม่มีการพบผู้สูญหายเพิ่ม

ในขณะที่ผลพิสูจน์ เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง เวลานี้ สามารถรับรองได้ว่า คือร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ต้นเรือเรือหลวงสุโขทัย

ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์
โดยในวันเสาร์ที่ 14 เดือนมกราคม 2566 เวลา 13.30 น. จะมีการเคลื่อนร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์

ออกจาก ฐานทัพเรือกรุงเทพ เขตบางกอกน้อย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ไปยัง วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา

โดยมี ผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลกองทัพเรือ ในพื้นที่ ร่วมพิธี ในการนี้กองทัพเรือได้จัดกองทหารเกียรติยศ และ ขบวนรถเคลื่อนร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ อย่างสมเกียรติ โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดศรีเอี่ยม ในเวลา 17.30 น

สรุปการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (วันที่ 12 มกราคม 2566) เวลา 17.00 น. ยอดกำลังพล 105 นาย รอดชีวิต จำนวน 76 นาย เสียชีวิตรวม 24 นาย สูญหาย 5 นาย สำหรับรายนามกำลังพล ที่เสียชีวิต ซึ่งสามารถเพื่อรับรองตัวบุคคล ได้แล้ว จำนวน 24 นาย

พี่สาว พี่ชาย โพสต์โศกเศร้า หลัง ทร.ยืนยัน ร่างที่พบคือ “ต้นเรือพลับ”

พี่สาว พี่ชาย โพสต์โศกเศร้า หลัง กองทัพเรือเปิดเผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 รับรองร่างที่เจอเป็น “ต้นเรือพลับ”

จากกรณีที่ พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยจม ในเวลานี้สามารถยืนยันได้ว่าคือร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ⁣⁣

โดยในวันเสาร์ที่ 14 เดือนมกราคม 2566 เวลา 13.30 น. จะมีการเคลื่อนร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ ออกมาจากฐานทัพเรือจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย จังหวัดกรุงเทพ ไปยัง วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา โดยมีผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลกองทัพเรือในพื้นที่ร่วมพิธี ⁣⁣
⁣⁣
ในการนี้กองทัพเรือได้จัดกองทหารเกียรติยศ และก็ ขบวนรถเคลื่อนร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ อย่างสมเกียรติ โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดศรีเอี่ยม ในเวลา 17.30 น⁣⁣. ดังที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

พี่สาว พี่ชาย ต้นเรือพลับ
ทั้งนี้ พี่สาวของ ต้นเรือพลับ ได้โพสต์ภาพ 3 คนพี่น้อง พร้อมข้อความอาลัย ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“พี่ไม่คิดเลยว่ารูปนี้ จะเป็นรูปสุดท้ายของเรา 3 คนพี่น้อง คุณยายคะ คุณยายบอกว่าหนูเป็นพี่คนโตให้หนูดูแลน้อง แต่หนูไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้เลย หนูขอโทษนะคะ ตอนนี้คุณยายเจอเจ้าตัวเล็กของเรารึยังคะ ฝากดูแลน้องด้วยนะคะ พลับพูดอยู่เสมอว่าคิดถึงอาหารที่คุณยายทำ

พลับ พี่รักพลับมากนะ หลับให้สบายนะน้องรัก ไม่ต้องห่วงคุณพ่อคุณแม่และกุ๊กกิ๊กนะ พี่กับพี่พีทจะดูแลทุกคนเอง

2565 ใจร้ายเหลือเกิน พรากคนที่เรารักที่สุดในชีวิตไปถึง 2 คน”

ขณะที่ พี่ชายต้นเรือพลับ อธิบายผ่านเฟซบุ๊กว่า “ไม่ใช่ว่าเราทำใจไม่ได้ หรือไม่ยอมรับความจริง แต่จากประสิทธิภาพของการประสานงานกับการสื่อสารในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีอะไรทำให้เราเชื่อมั่นได้เลย การที่มีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งญาติว่าฟันตรง โดยไม่ให้ข้อมูลอื่นๆ หรือมีหลักฐานประกอบเลย ถ้าเป็นคุณ คุณจะเชื่อไหม ตามหลักแล้ว ญาติมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และเข้าถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และตามกระบวนการ เรามีสิทธิ์ที่จะร้องขอการตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อความมั่นใจว่าได้ส่งร่างคืนให้ถูกครอบครัว และอาจจะเป็นการซื้อเวลาให้ญาติมีเวลาทำใจมากขึ้น ผมเป็นหมอ ผมเป็นทหาร ผมรู้อยู่แล้วว่าโอกาสที่เค้าจะรอดหลัง 48-72 ชม. มันแทบจะไม่มีเลย

คนที่บอกว่าทำใจยอมรับเหอะ หลายวันแล้ว ผมไม่รู้หรอกนะว่าเค้าเติบโตมายังไง แต่ครอบครัวของเราเติบโตมาด้วยความรัก การจะต้องสูญเสียใครไปสักคน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ระยะเวลาในการทำใจของแต่ละคน หรือการจัดการกับอารมณ์ของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน ผมเป็นพี่ผมยังปวดใจขนาดนี้ แล้วหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ล่ะครับ ไหนจะน้องสะใภ้ผมอีก แค่ต้องคิดว่าผมจะไม่ได้กอดน้องแล้ว น้องที่ผมอุ้มมาตั้งแต่น้องเกิด ไอ้หมาของผม ผมยังห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้เลย ตัวผมเองก็เตรียมใจมาแล้วประมาณนึง ด้วยหลักการและเหตุผล สมองมันเข้าใจนะครับ แต่หัวใจเองมันก็ยังรับไม่ได้ มองเห็นอะไรก็คิดถึงน้องไปหมด พอคิดถึงแล้วน้ำตาก็ไหล แล้วพ่อแม่ผมล่ะครับ พวกท่านจะเป็นยังไง

ผมขอขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้นะครับ ตอนนี้ผมขอเวลาและขอความเป็นส่วนตัวให้คนในครอบครัวด้วยครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกคนมากๆจริงๆ”

ดังนี้ หลังจากที่ข้อความดังกล่าว ถูกแชร์ออกไป ทำให้คนที่ติดตามข่าวสารการค้นหา “ต้นเรือพลับ” เข้ามาแสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก.

"เพชรพันปี" งานเข้าไม่หยุด ลูกค้าร้อง ปคบ. ขายสินค้าไม่ตรงปก โฆษณาเกินจริง

“เพชรพันปี” งานเข้าไม่หยุด ลูกค้าร้อง ปคบ. ขายของไม่ตรงปก โฆษณาเกินจริง ความเสียหาย รวมมูลค่าหลายสิบล้านบาท

ทนายความรณณรงค์ พาผู้เสียหาย 30 กว่าคน ที่ได้หลงเชื่อซื้อเครื่องรางของขลัง และ เครื่องเพชร ไปร้องทุกข์ ให้ดำเนินคดี ดร.เพชรพันปี ซึ่งรวมมูลค่าเสียหาย ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ส่วน ดร.เพชรพันปี ล่าสุด ได้ออกมาขอโทษทุกคน ผ่านเฟซบุ๊กแล้ว

สืบเนื่องตั้งแต่วันที่ (10 เดือนมกราคม 2566) ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นําผู้เสียหายกว่า 30 ราย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ หลังจากถูกหลอก ให้ซื้อเพชร ของขลัง แล้วก็ อัญมณี จากร้านค้าของเพชรพันปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ.

ให้เอาผิดทางกฎหมาย กับร้านค้าเพชรพันปี กรณีซื้อเพชร แล้วก็ เครื่องรางของขลัง แล้วได้ผลิตภัณฑ์ไม่ตรงดังที่โฆษณาไว้ มีทั้งของปลอม และก็ ของที่ไม่ได้คุณภาพ ความเสียหาย รวมหลายสิบล้านบาท

ผู้เสียหาย เพชรพันปี

ทนายรณณรงค์ บอกว่า นําผู้เสียหาย ที่ซื้อเพชร ของขลัง และก็ อัญมณี

ทั้งหลาย จากร้านค้า ของคุณเพชรพันปี มาร้องกล่าวโทษ ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ในเรื่องของสินค้า แล้วก็ คุณประโยชน์ ที่ไม่ตรงตามโฆษณา ราคารวมกัน ไม่ตํ่ากว่า 30 ล้าน

อีกเรื่องคือ ภายหลังจากมีการจัดฉาก ถูกรางวัลที่ 1 ค่า 24 ล้าน ที่มีดาราชายหนุ่มเข้ามาเกี่ยวพัน ปรากฏว่า มีประชาชน หลงเชื่อ ไปซื้อเครื่องรางของขลัง เพื่อเสริมความเป็นมงคล เป็นจํานวนมาก

โดยผู้เสียหาย เล่าว่า “ได้ตรวจเช็กสินค้า ที่เป็นพวกเครื่องรางของขัง ในลาซาด้า พบขายอยู่ที่ราคา 149 บาท แต่ร้านเพชรพันปี ให้บูชาในราคา 990 บาท อ้างว่ามีการปลุกเสกวิเศษ ใส่แล้วชีวิตจะดีขึ้น รวมถึงมีการโพสต์ว่า จะนําดวงของผู้เสียหาย ไปวางไว้ใต้ฐานพระแก้วมรกต เพื่อเสริมดวง จึงทําให้หลงเชื่อ เพราะไม่ใช่ใครก็ได้ จะสามารถเข้าไปถึง ที่องค์พระแก้วมรกตได้”

นางบี (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้เสียหาย ที่หลงเชื่อ ซื้อเพชรปลอม เปิดเผยว่า “เห็นโฆษณาของร้าน ที่อ้างว่าเป็นเพชรนํ้า 100 หรือเพชรขาวใสไร้สี แต่เมื่อลองนําไปตรวจ ที่สถาบันเพชร กลับพบว่าเป็นเพชรมีตําหนิ รวมถึงพลอย ที่ล้อมยังเป็นของปลอมอีกด้วย

หากคนที่ดูเพชร ดูพลอย ไม่เป็น หรือไม่ได้อยู่ในวงการนี้ ไม่สามารถแยกแยะออกได้เลย ว่าอันไหนของแท้ หรือของปลอม ส่วนทองคํา ที่มีการระบุว่าเป็นทอง 18K เมื่อนำไปเช็กแล้ว ก็พบว่าอยู่ที่ระดับ 9K เท่านั้น”

เหยื่อเพชรพันปี ร้อง ปคบ.
นอกเหนือจากนี้ ยังมีผู้เสียหายที่เชื่อสำหรับการโพสต์โฆษณา ของร้าน เพชรพันปี

ด้วยว่า จะนําดวงของลูกค้า ไปวางไว้ที่ใต้ฐานพระแก้วมรกต เพื่อเสริมดวง ทําให้มีผู้เชื่อไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะว่าไม่ใช่ใครที่ไหน จะสามารถเข้าถึง ที่ฐานขององค์พระแก้วมรกตได้

ดังนี้ทางด้าน ทนายความรณณรงค์ ยังกล่าวอีกว่า คดีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงประชาชน หรือไม่นั้น ต้องตรวจสอบ เรื่องการกล่าวอ้าง ว่าจะมีการนําดวงของผู้เสียหาย ไปวางไว้ที่ใต้ฐานของพระแก้วมรกต หากทําได้จริงจะไม่มีความผิด แต่หากท้ายที่สุดแล้ว ไม่สามารถทําได้จริง ถือว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง ประชาชนอย่างแน่นอน เนื่องจากทำให้มีผู้เสียหาย เป็นจํานวนมาก หลงเชื่อโฆษณาดังกล่าว”

แล้วก็ทางด้าน ดร.เพชรพันปี ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ขอโทษทุกคน ผ่านทางเฟซบุ๊กว่า “ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ พร้อมกับกราบขอโทษทุกคน ที่ทำให้ผิดหวังนะคะ ขอโทษครอบครัว ขอโทษลูกของแม่ทุกคน แม่ขอโทษนะลูก ที่แม่ทำให้ลูกเสียใจ ขอโทษคุณลูกค้า ที่มีอุปการคุณ ขอโทษคุณณวัฒน์ ขอโทษแม่ลีน่า ขอโทษคุณวี ขอโทษหงษ์ทอง ขอโทษ อ.ริน ขอโทษ บิ๊กเอ็ม ขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ถ้าเราไม่ใช้วิธีโกหกประชาชน จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลย นี่คือบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่เป็นอุทาหรณ์ และตัวอย่างที่ไม่ดี อย่าได้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง ถูกผิดรู้แก่ใจ โกหกคนอื่นได้ แต่โกหก ความจริงไม่ได้ค่ะ จะเป็นตราบาปกับชีวิตไปตลอด ขอโอกาส ในการเริ่มต้นใหม่ อีกสักครั้งนะคะ”